วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ริมระเบียงใจ (5) ปรากฏการณ์เกร็ง



1

ก่อนที่จะตกปากรับคำงานนี้ ผมคิดสะระตะอยู่หลายวัน

ไม่ใช่เพราะอยากโก่งค่าตัวหรือมีปัญหาเรื่องเวลา แต่เป็นเพราะทัศนคติส่วนตัวที่รู้สึกบางประการกับ งานแต่งงานมากกว่า ทำให้ผมเกิดอาการลังเล เมื่อถูกน้องสาวที่รักใคร่และนับถือกัน ขอร้องให้ช่วยเป็นพิธีกรงานแต่งพี่สาวของเธอ

“นะพี่นะ ช่วยหนูหน่อย ขอร้อง...” เธอบอกพร้อมกระพริบตาปริบๆ

เมื่อเห็นผมยังนั่งเงียบ เธอรีบเขยิบเข้ามาใกล้ ทำหน้าตาอ้อนวอนสุดฤทธิ์ “หนูรู้ว่าพี่ไม่อยากเป็นพิธีกรงานแต่ง แต่เวลานี้หนูหาใครไม่ได้แล้วจริงๆ แล้วหนูรับปากที่บ้านไว้แล้วด้วย หากหาพิธีกรไม่ได้ ต้องโดนป๊าดุแน่ๆ”

แม้จะผ่านงานพิธีกรมาพอสมควร(โดยส่วนมากจะเป็นงานช่วยไม่ใช่งานจ้าง)แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ผองเพื่อนว่า ผมจะไม่รับเป็นพิธีกรงานแต่งกับงานศพ เพราะรู้สึกว่าสองงานนี้ คนเป็นพิธีกรต้องใช้สมาธิ และ ความรู้สึกมากกว่างานอื่นๆ

โดยเฉพาะงานแต่งงาน หากเลือกได้ ผมอยากไปในฐานะแขกในงาน นั่งมองรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปลื้มปิติของเจ้าบ่าวเจ้าสาว และคอยส่งเสียงแสดงความยินดีตอนประธานในงานยกแก้วไวน์ขึ้นไชโย มากกว่าที่จะไปในฐานะพิธีกร

ถ้าเป็นงานของคนอื่นผมคงมีข้ออ้างมากมายที่ใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธ แต่สำหรับงานนี้กับคนที่สนิทชิดใกล้รักใคร่นับถือกัน แม้ใจจะอยากทำเช่นนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ จึงตกปักรับคำอย่างไม่เต็มเสียง

“พี่เป็นให้ก็ได้”แต่ผมก็ยังไม่วายเล่นแง่“แต่ขอเป็นพิธีกรคู่ได้ไหม พี่ไม่อยากฉายเดี่ยว”

“ได้สิพี่ พี่อยากคู่กับใครหามาได้เลย...” เธอดีใจจนออกนอกหน้า ก่อนผลักภาระเรื่องพิธีกรคู่ให้ผมอย่างเนียนๆ แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบกระดาษเอสี่ปึกบางๆยื่นให้ผม “แต่งแบบคนจีนพี่ ตามสคริปนี้เปะหนูเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พี่เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก เชื่อหนูสิ...”

เธอบอกกับผมอย่างนั้น ก่อนลั้นลาเดินจากไป ทิ้งปมให้ผมเริ่มเครียด

แย่แล้ว แต่งแบบคนจีน ต้องทำอย่างไร เคยเห็นแต่ในหนัง

2

ยิ่งใกล้ถึงวันงาน ผมยิ่งเกร็ง

ความที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน ผมจึงเริ่มหาข้อมูล ทั้งจากอินเทอร์เน็ต หนังสือWedding หลายเล่ม รวมไปถึงจากหนังจีนสากลหลายเรื่องที่จำได้เลาๆว่าเคยเห็นฉากแต่งงานแบบคนจีนเพื่อศึกษาเป็นแนวทางไหนๆก็รับปากเขามาแล้ว อยากทำให้เต็มที่

สามวันก่อนวันงาน แม้ความรู้สึกไม่มั่นใจจะมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนตอนที่ตกปากรับคำใหม่ๆ ผมคิดเองเออเองว่า อย่างน้อย งานนี้ก็ไม่ได้ฉายเดี่ยว เพราะพิธีกรคู่ของผม ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทั้งเก่งและเจนเวทีกว่า น่าจะช่วยให้งานครั้งนี้ลื่นไหล ไม่ติดขัด

แต่แล้ว เมื่อถึงวันงานถึงได้รู้ ผมคิดผิด

เพื่อนรุ่นพี่ของผมที่ตกปากรับคำกันไว้แล้วเป็นมั่นเหมาะ กลับไม่ว่างกะทันหัน เพราะหน่วยงานต้นสังกัดของเขาเรียกตัวให้ไปทำงานด่วน ผมจึงต้องวิ่งวุ่นหาพิธีกรคู่ แต่คุณเชื่อไหม ทุกคนที่ผมโทรศัพท์ไปปฏิเสธมาตามสาย ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ วันนี้เป็นวันฤกษ์ดี เหมาะกับการจัดงานมหามงคล พิธีกรทุกคนติดงานแต่ง

สุดท้าย ผมจึงจำต้องยอมรับความจริง งานนี้ต้องฉายเดี่ยว

3

ว่ากันว่า เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย เรามักจะเกิดอาการ “เกร็ง”

เช่นผมเวลานี้ ที่แม้จะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่เมื่อถึงคราวลงสนามจริง ผมก็ หลุดจนได้ เริ่มจาก การประกาศชื่อและลำดับญาติฝ่ายเจ้าสาวผิด (หลักวาทการบอกไว้ว่า ชื่อที่เพราะที่สุดคือชื่อของเราเอง การถูกเรียกชื่อผิด ถือเป็นเรื่องใหญ่มากในงานพิธีกร)

แม้จะออกปากขออภัย และอ่านใหม่ให้ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่ตาที่ไวปานเหยี่ยวจับเหยื่อของผมก็ยังทันเห็น อาหยี่กู๋ ซี้กู๋ โหง่วกู๋ โซ้ยอี๊ ทำหน้าตึงใส่ อาจแอบด่าในใจ ทำไมอีตาพิธีกรนี่ไม่ยอมทำการบ้านเลย

แล้วก็ยิ่งเกร็งเข้าไปอีก เมื่อพ่อเจ้าสาวย่างสามขุมมาหาผม กำชับเสียงหนักแน่น

“งานนี้ป๊าอยากให้ดูเป็นทางการ เพราะฉะนั้นพิธีกรไม่ต้องแซวคนมาร่วมงานนะ ว่าไปตามสคริปเลย ไม่ต้องเล่นอะไรทั้งนั้น และก็ห้ามประกาศให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจับมือ หอมแก้ม โอบเอวกันบนเวทีเด็ดขาด ป๊าไม่ชอบ ครอบครัวป๊าถือ...”

ได้ยินคำขอร้องของเจ้าภาพขนาดนี้ พิธีกรอย่างผมเลยได้แต่ยืนเกร็ง กระพริบตาปริบๆ

4

ยัง ยังไม่หมดครับ

เป็นที่รู้กันว่า ถ้าเป็นงานพิธีการแล้วคนไทยเชื้อสายจีนจะยึดถือฤกษ์พานาทีเป็นอย่างมากฤกษ์ของการสวมแหวน (ที่ซินแสประจำตระกูลของเจ้าสาวกำหนด)ในงานวันนี้คือเวลา 09:19 นาที แน่นอนว่า ผมจำได้ขึ้นใจ

หลังพิธียกน้ำชาผ่านไปอย่างไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไรนัก (เนื่องจากพิธีกรอ่านชื่อที่มีแต่ภาษาจีนของญาติทั้งฝ่ายเจ้าบ่าว และเจ้าสาวผิดตลอดเพราะเกิดอาการเกร็ง แม้จะมีพี่ชายของเจ้าสาวยืนลุ้นและคอยออกเสียงให้ฟังอยู่ข้างๆก็ตาม) ผมเห็นว่ายังพอมีเวลา จึงขอเชิญญาติๆมาถ่ายรูปร่วมกัน

บรรยากาศในขณะนั้นชื่นมื่น ผมเหลือบดูนาฬิกาที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นระยะ รอจนเหลือเวลาอีกราว 1นาทีจึงประกาศให้ช่างภาพ (ที่พยายามบอกให้ทุกคนฉีกยิ้มและหัวเราะออกเสียงด้วย ภาพที่ออกมาจะได้ดูเป็นธรรมชาติ) หยุดกิจกรรมถ่ายภาพบนเวที

ขณะที่นาฬิกาของผมฤกษ์ 09:19 นาทีพอดีเปะ แต่นาฬิกาของพ่อเจ้าสาว (ซึ่งดูจะยิ่งใหญ่ที่สุดในงาน) กลับไม่เป็นเช่นนั้น พอประกาศให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวหยิบแหวนหมั่นเตรียมสวมให้กันและกัน พ่อเจ้าสาวก็ส่งน้ำเสียงดุดันแหวกอากาศขึ้นมาทันใด

“ยังๆ ยังไม่ถึง นาฬิกาอั๊ว เหลืออีกตั้งสามนาที”

ไม่พูดเปล่า คุณพ่อเจ้าสาวยังกวักมือเรียกผมให้ไปหาที่กลางเวที แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงยัดใส่มือผม กำชับเสียงเข้ม “เอาเวลาที่นาฬิกาของป๊า...”

ผมรู้ซึ้งในเวลานั้น หนึ่งนาทีของคนเรานั้น ไม่เท่ากัน จริงๆ

5

โล่งใจไปมาก เมื่อผ่านพ้นพิธีหมั่นช่วงเช้ามาได้

แต่ใช่ว่างานเลี้ยงช่วงกลางคืนจะราบรื่น ขณะซักซ้อมสคริปอยู่หน้าห้องจัดเลี้ยง อาการเกร็งของผมก็กำเริบหนัก รูปแบบงานที่ออกจะ เป็นทางการมากๆ (ที่ขัดกับบุคลิกของผมที่เป็นคนขี้เล่นขยันปล่อยมุกสนุกสนาน) ก็ส่วนหนึ่ง

ยิ่งเมื่อมี ผู้รู้มากมายหลายท่าน เดินเข้ามาหาเพื่อถ่ายทอด คำสั่งผมก็ยิ่ง เป็นเอามาก

ให้อดีตท่านผู้ว่าฯ เป็นคนกล่าวอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวนะ เพราะท่านอาวุโสสุด

ให้ท่านผู้ว่าฯ คนปัจจุบันคล้องพวงมาลัยก่อนนะ เพราะท่านตำแหน่งสูงสุดในงาน

พี่ขอไม่อวยพรนะ จะขึ้นไปคล้องมาลัยอย่างเดียว ฯลฯ

และที่ทำให้รู้สึกเกร็งจนอยากกลับบ้าน เห็นจะไม่พ้นประเด็นเรื่อง พวงมาลัย

“บ้าหรือเปล่า นี่มันงานแต่งงานนะ ไม่ใช่การแข่งขันประกวดร้องเพลงลูกทุ่งพุ่มพวงในดวงใจ ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวคล้องหมดคนละสี่พวงเหมือนมาแข่งร้องเพลงแบบนี้ ตลกแย่...” ออแกไนหนุ่มร่างใหญ่แต่ใจสาวที่รับจัดงานในวันนี้ วีนใส่ผมทันทีที่เห็นสคริป “น้องรู้หรือเปล่า พวงมาลัยงานแต่งนี่คล้องแล้วเอาออกไม่ได้นะ เขาถือว่าไม่ให้เกียรติ”

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เจ้าภาพเขาระบุมาอย่างนี้...” ผมบอกไปตามตรง

“ทำไมไม่รู้ เป็นพิธีกรต้องรู้ทุกอย่างสิ...” เธอตำหนิตรงๆ ก่อนสะบัดบ๊อบเดินจากไป

ทิ้งให้ผมยืนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านั้น ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาพ่อเจ้าสาว เล่าเรื่องพวงมาลัยเจ้าปัญหาให้ฟัง โชคยังดีที่คราวนี้ผู้ที่ ใหญ่ ที่สุดในงานรับฟัง และเห็นด้วยกับคำพูดของออแกไนหนุ่มร่างใหญ่หัวใจสาว ทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปด้วยดี

6
หน้าที่ของผมสิ้นสุดลงราวห้าทุ่มกว่า

แขกเหรื่อทยอยกันกลับเกือบหมดแล้ว ผมนั่งหมดแรงอยู่หน้าห้องจัดเลี้ยง เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยืนส่งแขกอยู่หันมาเห็นพอดี ทั้งสองคนจูงมือกันเดินเข้ามาหา พระเอกนางเอกของงานเอ่ยปากขอบคุณผมเป็นการใหญ่

อาการเกร็งในอารมณ์ของผมเริ่มคลี่คลาย เมื่อเห็นหยดน้ำใสๆที่หัวตาของเจ้าสาว ผมรู้สึกปลื้มใจและดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งในงานสำคัญของชีวิตคนทั้งคู่ แม้งานนี้ผมจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ตัวเองตั้งใจไว้ก็ตาม

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ” เจ้าบ่าวที่เวลานี้แม้จะดูเหนื่อยล้าเพราะวิ่งวุ่นรับแขกทั้งวัน แต่ก็ดูมีความสุขไม่แพ้กันบอก ขณะเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบาๆ “ไว้คราวหน้า น้องสาวของอีกคนของพี่แต่งงาน จะใช้บริการอีกนะ...”

ผมได้แต่ยิ้ม ยังให้คำตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า...อาการเกร็งที่ขมับกลับมาอีกแล้ว