วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ริมระเีบียงใจ (3) เพื่อนต้น


1

รถปรับอากาศชั้น 1 กรุงเทพ ฯ กระบี่ จอดเทียบชานชาลาสถานีขนส่งตอนหกโมงกว่า

ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แม้กลิ่นควันโชยฉุนที่ลอยออกมาจากท่อไอเสียจะทำให้แสบจมูกอยู่บ้าง แต่กลิ่นของอิสระที่รอคอยมานานก็ดูหอมหวานเกินกว่าจะทำให้ผมหัวเสีย และหงุดหงิดใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

นี่คือครั้งแรกของผมกับการเดินทางไกลโดยไม่มีใครมาคอยอำนวยความสะดวกเหมือนเมื่อครั้งทำงานเป็นกองบรรณาธิการนิตยสาร หลังจากตรากตรำทำงานมานานกว่าเจ็ดปี ผมเลือกกระบี่เป็นสถานที่ฉลองการลาออกโดยมีเพื่อนอีกสองคน สมัครใจลาพักร้อนมาฉลองเป็นเพื่อนซึ่งหนึ่งในนั้นที่กระเป๋าหนักกว่าใครจะบินตามมาสมทบทีหลัง

ระหว่างที่กำลังยืนอ้อยอิ่ง พลันก็มีผู้ชายคนหนึ่งใส่หมวกปิดหน้าปิดตาเดินตรงเข้ามาดึงกระเป๋าในมือผม อารามของความตกใจผมสะบัดมือเต็มแรง มองหน้าอย่างเอาเรื่องแล้วเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นหน้าเขาชัดๆ


2

มึงรู้ได้ไงว่ากูมา”

ผมถามต้นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่ตั้งท่าแย่งกระเป๋าในมือผม คราวนี้ผมยอมยื่นให้และเดินตามมันไปที่รถโดยสารซึ่งที่จอดคอยนักท่องเที่ยวอยู่แล้วที่ด้านหน้าของสถานีขนส่งกระบี่แต่โดยดี

“แม่มึงบอก”

ต้นตอบสั้น ชัดถ้อยชัดคำ ส่วนผมทำหน้าเซ็ง นึกโกรธแม่ที่เป็นห่วงผมเกินพอดีเอาเรื่องนี้มาบอกมัน(นั่นหมายความว่าต้นยังติดต่อกับที่บ้านผมอยู่ตลอดโดยที่ไม่มีใครบอกให้ผมไม่รู้) ต้นทำท่าไม่สนใจหันไปบอกคนขับรถโดยสารเป็นภาษาใต้ที่ผมจับใจความได้ว่าให้เอากระเป๋าของผมกับเพื่อนไปส่งที่หน้าโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งมันทำงานอยู่ แล้วหันมาบอกผมเป็นภาษาเหนือที่มันพูดได้ ไม่ต่างจากเจ้าของภาษา

แปลเป็นไทยว่า“มึงกับเพื่อน ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับกู”

คำว่ามอเตอร์ไซค์ทำเอาผมหน้าเจื่อนลงไปทันที ต้นรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ หันมาบอกผม

“เชื่อใจกู ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยแน่”


3

ไม่ได้พบหน้ากันมากว่าห้าปี

ต้นวันนั้นกับต้นวันนี้แทบไม่ต่างกันเลย แม้ปัจจุบันมันจะเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายบุคคลโรงแรมชื่อดังระดับห้าดาวของจังหวัดกระบี่แล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกของผมต้นก็ยังเป็นต้น เป็นผู้ชายหน้าเถื่อน รูปร่างผอมกะหร่องคล้ายคนติดยา ตัวดำ ผมหยิก และยังคงเป็นมนุษย์ที่ได้ยินเสียงทุกสรรพสิ่งในโลกเพราะมันหูกางมาก (มันพูดของมันเอง) คนเดิม

ผมกับต้นรู้จักกันครั้งแรกตอนเรียนอยู่ชั้นมอสี่ ต้นเดินเข้ามาทักผมก่อนตอนไปสมัครเรียนชมรมวาทศิลป์ อาจเป็นเพราะเราเรียนคนละห้อง(ต้นเรียนศิลป์คำนวณผมเรียนวิทย์-คณิต)เราเลยไม่สนิทกันในทันที แต่พอได้ทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยเข้า ผมกับมันเลยนับกันเป็น เพื่อน

กระทั่งเรียนจบชั้นมอปลาย ผมกับต้นและเพื่อนอีกหลายคนก็ไปสมัครที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เราโชคดีที่สอบได้ที่เดียวกัน แม้จะคนละคณะ(ต้นเรียนพัฒนาชุมชน ส่วนผมจบสายวิทย์แต่บินตามฝันไปเรียนนิเทศศาสตร์จนได้)แต่เราก็มีเวลาที่ใช้จ่ายไปด้วยกันมากพอสมควร

ต้นเป็นหนึ่งในโหมดเพื่อนรัก(ที่มีอยู่เพียงไม่กี่คน)ที่ผมพร้อมจะเทใจให้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

ผมรักมันมากถึงขนาดยอมเก็บความลับของมันไว้ ให้เป็นคำถามคาใจมาจนวันนี้



4

ห้าวันในกระบี

ผมกับเพื่อนได้รับการอำนวยความสะดวกจากต้นอย่างดีประดุจแขกวีไอพีของโรงแรมชั้นหนึ่ง ไม่ว่าต้องการอะไร ต้นจัดให้ทุกอย่าง ตั้งแต่โรงแรม ที่หา(ราคาถูกแต่ดี)ยากเหลือใจ ต้นก็ใช้เส้นสนกลในวิ่งเต้นหาให้ จนเราได้พักในโรงแรมหรูโดยจ่ายในราคาหารกันแล้วไม่ถึงไม่ถึงพันบาท ทั้งติดต่อรถเช่า เหมาเรือนำเที่ยว พาไปตกปลากลางทะเล และเป็นไกด์ให้ในบางวันที่มันสามารถปลีกตัวมาได้

เพราะชีวิตของคนเมืองใหญ่ถูกสอนให้ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ผมจึงไม่แปลกใจเวลาเห็นเพื่อนสองคนของผมมักจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และแอบมองหน้ากันอยู่บ่อยๆเวลาที่ต้นนำเสนอให้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย

เพื่อนของผมไม่ไว้ใจต้นเท่าไรนัก ด้วยเพราะบุคลิกของมันที่ดูนิ่งๆชวนให้ดูมีลับลมคมใน คล้ายมี อะไร อยู่ในใจตลอดเวลานั้นด้วยส่วนหนึ่ง และการพูดจารวบสั้น ชัดถ้อยชัดความ คล้ายมะนาวไม่มีน้ำนั้นก็ด้วย แน่นอนว่า เพื่อนของผมฉลาดพอที่จะเงียบไว้

และในที่สุดความมีน้ำใจของต้น ก็เอาชนะใจเพื่อนทั้งสองคนของผมได้ในวันต่อมา



5

วันที่สามของการทริป

เพื่อนร่วมทริปหนึ่งในสองของผมซึ่งเป็นสาวอารมณ์อ่อนไหวกว่าใครเพื่อน เกิดอยากดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่ร้านอาหารหน้าหาดโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง เพื่อเก็บไว้เป็นฉากความประทับใจของชีวิต ผมถามต้นเป็นเชิงปรึกษา ไม่อยากให้มันออกหน้าอีกแล้ว เพราะเกรงใจ

ต้นพยักหน้า บอกเพียงว่าไม่เป็นไรก่อนจะไล่ให้ผมกับเพื่อนกลับโรงแรมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

ในคืนนั้น บรรยากาศริมชายหาดที่มองไปบนท้องฟ้าเห็นดาวระยิบระยับกับแสงเทียนวอมแวมบนโต๊ะอาหาร ทั้งอาหารสารพัดเมนูแสนอร่อยที่ต้นตั้งใจเลือกมาขึ้นโต๊ะ รวมไปถึงน้ำเมาขวดเขียวที่เพื่อนอีกคนของผมชื่นชอบเป็นพิเศษ ล้วนมีส่วนสร้างความประทับใจให้เราทุกคน

โดยเฉพาะเพื่อนสาวอารมณ์อ่อนไหวของผม เธอดีใจจนน้ำตาไหลที่ความฝันของเธอเป็นจริงเสียที แม้เมื่อกลับถึงโรงแรม เธอก็ยังไม่หยุดอิน อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเคาะประตูห้องผม ชวนเมาท์ต่ออย่างเมามัน

ก่อนเปิดประเด็นทิ้งท้าย ให้ผมนอนไม่หลับ

“ทำไมต้น ถึงดีกับแกนักวะ”


6

คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจผมมาหลายปีแล้ว

นับตั้งแต่ เกิดเรื่อง น้อยคนนักที่จะรู้ว่า เหล็กที่อยู่ในขาของผม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้น

เพราะความประมาทของต้น ทำให้ผมขาหักตั้งสามท่อน ไม่มีสิทธิสอบปลายภาค หมดโอกาสเรียนรำโขน เพราะต้น ทำให้ผมไม่กล้าขับมอเตอร์ไซค์ กลัวเลือด ข้ามถนนคนเดียวไม่ได้ กลัวเสียงไซเรน และกลายเป็นคนไม่มั่นใจเวลาใช้รถใช้ถนนมาจนถึงทุกวันนี้

หลายปีที่ผ่านมา ผมคิดแต่เพียงว่า การที่มันทำดีกับผม เพราะรู้สึกผิด

จึงเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ต้นแสดงความจำนงที่จะช่วยเหลือผมไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามผมมักจะปฏิเสธไว้ก่อน ระหว่างผมกับต้น ผมมักมีคำถามห้อยท้ายตลอดว่า ต้นช่วยเพราะผมเป็นเพื่อน หรือเพราะต้องรับผิดชอบกันแน่

สุดท้ายผมก็ได้คำตอบที่สรุปเอาเองว่าต้นช่วยเหลือผมเพราะรู้สึกผิด นับตั้งแต่นั้นผมเหมือนมีกำแพงบางๆกางกั้นระหว่างมันกับผม ไม่ว่าต้นจะทำอะไรให้ผมก็มักจะตีค่าน้ำใจของมันต่ำกว่ามาตรฐานของเพื่อนคนอื่นเสมอ

เช่นเดียวกับครั้งนี้



7

ความคิดผมเปลี่ยนไปในวันที่สี่ของการเดินทาง

วันนั้นต้นปวารณาตัวว่า จะโชว์ฝีมือทำกับข้าวเลี้ยงส่งเราสามคนก่อนกลับ งบที่เหลือร่อยหรอในกระเป๋าอาจเป็นเหตุผลหลักทำให้เพื่อนทั้งสองคนของผมเห็นดีด้วยอย่างไม่ลังเล และทำหน้าที่เป็นลูกมือที่ดีรออยู่ที่หอพักของต้น ปล่อยให้ผมสบตากับความกลัว ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ฝ่าฝนเดินทางไกลกว่ายี่สิบกิโลเมตรเพื่อไปตลาดปลากับต้น

ถึงตลาด ต้นทำใจป้ำบอกผมว่าอยากกินอะไรให้ชี้ได้เลย งบไม่อั้น คนชอบกินปลาอย่างผมเลยสนุกกับการเลือกปลาหลายชนิดมาทำอาหาร พร้อมคิดเมนูไว้ในในเสร็จสรรพ ทั้งหมึกไข่นึ่งมะนาว แกงส้มปลากระบอก และปลาจารเม็ดทอดเกลือ

ระหว่างที่ติดฝนอยู่ในตลาด ผมได้โอกาสถามต้นอีกครั้ง อย่างจริงจังในรอบสิบปี

“มึงยังรู้สึกผิดอยู่ใช่ไหม ที่ทำให้กูเจ็บ”



8

“ใช่...” ต้นตอบชัดแข่งกับเสียงฝน

“ถ้าวันนั้นกูไม่รีบ ไม่ขับรถเร็วเพื่อไปรับผู้หญิงคนนั้น มึงก็คงไม่เป็นแบบนี้ คงไม่ต้องโกหกพ่อกับแม่ให้การเท็จกับตำรวจ เพื่อช่วยกู มึงรู้ไหม สิบกว่าปีมานี้ กูรู้สึกผิดมาตลอด ภาพของมึงที่นอนตาลอยอยู่ในรถรีเฟอร์ยังติดตากู จนถึงทุกวันนี้ได้ยินเสียงไซเรนทีไรกูก็ยังคิดถึงมึง”

เมื่อรู้ว่าสิ่งที่คาดเดาไว้เป็นจริง ผมยังนิ่งรอดูท่าที

“แต่มึงรู้อะไรไหม ต่อให้กูไม่ได้ทำให้มึงเจ็บ กูก็จะทำแบบนี้”

“ทำไมวะ”

“เพราะมึงเป็นเพื่อนกู”

ผมเงียบไป รู้สึกคล้ายถูกตบหน้า

คำว่าเพื่อนที่หลุดรอดออกมาจากไรฟันของต้น กินความหมายกินใจกว่าทุกครั้ง หลายปีที่ผ่านมาผมทำเพื่อนหล่นหายไปบนทางเดินแห่งมิตรภาพมาแล้วนักต่อนัก เพื่อนบางคนหันหลังให้กันเพราะคำพูดไม่กี่คำ บางคนระยะทางเป็นเหตุ บางคนหนีหายเพราะความไม่ใส่ใจละเลย

แต่สำหรับต้น แม้ว่าผมจะพยายามตีวงโค้งหนีห่างจากวงโคจรของมันยังไง สุดท้ายมันก็ยังอยู่ อยู่ในที่เพื่อนคนหนึ่งเคยอยู่ อย่างเงียบๆ รอคอยทำหน้าที่ของ เพื่อนที่ดีคนหนึ่ง โดยไม่เรียกร้องมิตรภาพหรือสิ่งอื่นใดจาก เพื่อน

ควรแล้วหรือ ที่ผมจะสร้างกำแพงกางกั้นใจที่บริสุทธิ์ของเพื่อนหน้าโหดคนนี้

ผมเงยหน้า สบตาต้น

“ต้น ต่อไปนี้ มึงไม่ต้องรู้สึกผิดอีกแล้วนะ ที่ผ่านมา กูไม่เคยพูดคำนี้กับมึงเพราะกูเองก็ไม่แน่ใจว่า หากพูดไป แล้วกูไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดจะเป็นการโกหกกันเปล่าๆ...” ขณะเอื้อมมือไปตบที่ไหล่ ผมบอกต้น

“ฟังให้ดีนะเพื่อน เรื่องที่ผ่านมากูยกโทษให้ กูดีใจที่ได้เป็นเพื่อนมึง”



9

หากเทียบกับอาหารค่ำมื้อก่อน

อาหารค่ำมื้อนี้คงไม่อร่อยเท่า เพราะแกงส้มปลากระบอกฝีมือต้นเผ็ดเอามากๆ ส่วนปลาจาระเม็ดทอดก็เกรียมจนเป็นสีน้ำตาล หมึกไข่นึ่งมะนาวก็แก่เกลือจนกินได้แต่เนื้อหมึกแต่พวกเราทุกคนกลับรับประทานกันได้มากเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะผม ที่กินจุกว่าใคร