วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ริมระเบียงใจ (5) ปรากฏการณ์เกร็ง



1

ก่อนที่จะตกปากรับคำงานนี้ ผมคิดสะระตะอยู่หลายวัน

ไม่ใช่เพราะอยากโก่งค่าตัวหรือมีปัญหาเรื่องเวลา แต่เป็นเพราะทัศนคติส่วนตัวที่รู้สึกบางประการกับ งานแต่งงานมากกว่า ทำให้ผมเกิดอาการลังเล เมื่อถูกน้องสาวที่รักใคร่และนับถือกัน ขอร้องให้ช่วยเป็นพิธีกรงานแต่งพี่สาวของเธอ

“นะพี่นะ ช่วยหนูหน่อย ขอร้อง...” เธอบอกพร้อมกระพริบตาปริบๆ

เมื่อเห็นผมยังนั่งเงียบ เธอรีบเขยิบเข้ามาใกล้ ทำหน้าตาอ้อนวอนสุดฤทธิ์ “หนูรู้ว่าพี่ไม่อยากเป็นพิธีกรงานแต่ง แต่เวลานี้หนูหาใครไม่ได้แล้วจริงๆ แล้วหนูรับปากที่บ้านไว้แล้วด้วย หากหาพิธีกรไม่ได้ ต้องโดนป๊าดุแน่ๆ”

แม้จะผ่านงานพิธีกรมาพอสมควร(โดยส่วนมากจะเป็นงานช่วยไม่ใช่งานจ้าง)แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ผองเพื่อนว่า ผมจะไม่รับเป็นพิธีกรงานแต่งกับงานศพ เพราะรู้สึกว่าสองงานนี้ คนเป็นพิธีกรต้องใช้สมาธิ และ ความรู้สึกมากกว่างานอื่นๆ

โดยเฉพาะงานแต่งงาน หากเลือกได้ ผมอยากไปในฐานะแขกในงาน นั่งมองรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปลื้มปิติของเจ้าบ่าวเจ้าสาว และคอยส่งเสียงแสดงความยินดีตอนประธานในงานยกแก้วไวน์ขึ้นไชโย มากกว่าที่จะไปในฐานะพิธีกร

ถ้าเป็นงานของคนอื่นผมคงมีข้ออ้างมากมายที่ใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธ แต่สำหรับงานนี้กับคนที่สนิทชิดใกล้รักใคร่นับถือกัน แม้ใจจะอยากทำเช่นนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ จึงตกปักรับคำอย่างไม่เต็มเสียง

“พี่เป็นให้ก็ได้”แต่ผมก็ยังไม่วายเล่นแง่“แต่ขอเป็นพิธีกรคู่ได้ไหม พี่ไม่อยากฉายเดี่ยว”

“ได้สิพี่ พี่อยากคู่กับใครหามาได้เลย...” เธอดีใจจนออกนอกหน้า ก่อนผลักภาระเรื่องพิธีกรคู่ให้ผมอย่างเนียนๆ แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบกระดาษเอสี่ปึกบางๆยื่นให้ผม “แต่งแบบคนจีนพี่ ตามสคริปนี้เปะหนูเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พี่เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก เชื่อหนูสิ...”

เธอบอกกับผมอย่างนั้น ก่อนลั้นลาเดินจากไป ทิ้งปมให้ผมเริ่มเครียด

แย่แล้ว แต่งแบบคนจีน ต้องทำอย่างไร เคยเห็นแต่ในหนัง

2

ยิ่งใกล้ถึงวันงาน ผมยิ่งเกร็ง

ความที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน ผมจึงเริ่มหาข้อมูล ทั้งจากอินเทอร์เน็ต หนังสือWedding หลายเล่ม รวมไปถึงจากหนังจีนสากลหลายเรื่องที่จำได้เลาๆว่าเคยเห็นฉากแต่งงานแบบคนจีนเพื่อศึกษาเป็นแนวทางไหนๆก็รับปากเขามาแล้ว อยากทำให้เต็มที่

สามวันก่อนวันงาน แม้ความรู้สึกไม่มั่นใจจะมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนตอนที่ตกปากรับคำใหม่ๆ ผมคิดเองเออเองว่า อย่างน้อย งานนี้ก็ไม่ได้ฉายเดี่ยว เพราะพิธีกรคู่ของผม ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทั้งเก่งและเจนเวทีกว่า น่าจะช่วยให้งานครั้งนี้ลื่นไหล ไม่ติดขัด

แต่แล้ว เมื่อถึงวันงานถึงได้รู้ ผมคิดผิด

เพื่อนรุ่นพี่ของผมที่ตกปากรับคำกันไว้แล้วเป็นมั่นเหมาะ กลับไม่ว่างกะทันหัน เพราะหน่วยงานต้นสังกัดของเขาเรียกตัวให้ไปทำงานด่วน ผมจึงต้องวิ่งวุ่นหาพิธีกรคู่ แต่คุณเชื่อไหม ทุกคนที่ผมโทรศัพท์ไปปฏิเสธมาตามสาย ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ วันนี้เป็นวันฤกษ์ดี เหมาะกับการจัดงานมหามงคล พิธีกรทุกคนติดงานแต่ง

สุดท้าย ผมจึงจำต้องยอมรับความจริง งานนี้ต้องฉายเดี่ยว

3

ว่ากันว่า เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย เรามักจะเกิดอาการ “เกร็ง”

เช่นผมเวลานี้ ที่แม้จะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่เมื่อถึงคราวลงสนามจริง ผมก็ หลุดจนได้ เริ่มจาก การประกาศชื่อและลำดับญาติฝ่ายเจ้าสาวผิด (หลักวาทการบอกไว้ว่า ชื่อที่เพราะที่สุดคือชื่อของเราเอง การถูกเรียกชื่อผิด ถือเป็นเรื่องใหญ่มากในงานพิธีกร)

แม้จะออกปากขออภัย และอ่านใหม่ให้ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่ตาที่ไวปานเหยี่ยวจับเหยื่อของผมก็ยังทันเห็น อาหยี่กู๋ ซี้กู๋ โหง่วกู๋ โซ้ยอี๊ ทำหน้าตึงใส่ อาจแอบด่าในใจ ทำไมอีตาพิธีกรนี่ไม่ยอมทำการบ้านเลย

แล้วก็ยิ่งเกร็งเข้าไปอีก เมื่อพ่อเจ้าสาวย่างสามขุมมาหาผม กำชับเสียงหนักแน่น

“งานนี้ป๊าอยากให้ดูเป็นทางการ เพราะฉะนั้นพิธีกรไม่ต้องแซวคนมาร่วมงานนะ ว่าไปตามสคริปเลย ไม่ต้องเล่นอะไรทั้งนั้น และก็ห้ามประกาศให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจับมือ หอมแก้ม โอบเอวกันบนเวทีเด็ดขาด ป๊าไม่ชอบ ครอบครัวป๊าถือ...”

ได้ยินคำขอร้องของเจ้าภาพขนาดนี้ พิธีกรอย่างผมเลยได้แต่ยืนเกร็ง กระพริบตาปริบๆ

4

ยัง ยังไม่หมดครับ

เป็นที่รู้กันว่า ถ้าเป็นงานพิธีการแล้วคนไทยเชื้อสายจีนจะยึดถือฤกษ์พานาทีเป็นอย่างมากฤกษ์ของการสวมแหวน (ที่ซินแสประจำตระกูลของเจ้าสาวกำหนด)ในงานวันนี้คือเวลา 09:19 นาที แน่นอนว่า ผมจำได้ขึ้นใจ

หลังพิธียกน้ำชาผ่านไปอย่างไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไรนัก (เนื่องจากพิธีกรอ่านชื่อที่มีแต่ภาษาจีนของญาติทั้งฝ่ายเจ้าบ่าว และเจ้าสาวผิดตลอดเพราะเกิดอาการเกร็ง แม้จะมีพี่ชายของเจ้าสาวยืนลุ้นและคอยออกเสียงให้ฟังอยู่ข้างๆก็ตาม) ผมเห็นว่ายังพอมีเวลา จึงขอเชิญญาติๆมาถ่ายรูปร่วมกัน

บรรยากาศในขณะนั้นชื่นมื่น ผมเหลือบดูนาฬิกาที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นระยะ รอจนเหลือเวลาอีกราว 1นาทีจึงประกาศให้ช่างภาพ (ที่พยายามบอกให้ทุกคนฉีกยิ้มและหัวเราะออกเสียงด้วย ภาพที่ออกมาจะได้ดูเป็นธรรมชาติ) หยุดกิจกรรมถ่ายภาพบนเวที

ขณะที่นาฬิกาของผมฤกษ์ 09:19 นาทีพอดีเปะ แต่นาฬิกาของพ่อเจ้าสาว (ซึ่งดูจะยิ่งใหญ่ที่สุดในงาน) กลับไม่เป็นเช่นนั้น พอประกาศให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวหยิบแหวนหมั่นเตรียมสวมให้กันและกัน พ่อเจ้าสาวก็ส่งน้ำเสียงดุดันแหวกอากาศขึ้นมาทันใด

“ยังๆ ยังไม่ถึง นาฬิกาอั๊ว เหลืออีกตั้งสามนาที”

ไม่พูดเปล่า คุณพ่อเจ้าสาวยังกวักมือเรียกผมให้ไปหาที่กลางเวที แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงยัดใส่มือผม กำชับเสียงเข้ม “เอาเวลาที่นาฬิกาของป๊า...”

ผมรู้ซึ้งในเวลานั้น หนึ่งนาทีของคนเรานั้น ไม่เท่ากัน จริงๆ

5

โล่งใจไปมาก เมื่อผ่านพ้นพิธีหมั่นช่วงเช้ามาได้

แต่ใช่ว่างานเลี้ยงช่วงกลางคืนจะราบรื่น ขณะซักซ้อมสคริปอยู่หน้าห้องจัดเลี้ยง อาการเกร็งของผมก็กำเริบหนัก รูปแบบงานที่ออกจะ เป็นทางการมากๆ (ที่ขัดกับบุคลิกของผมที่เป็นคนขี้เล่นขยันปล่อยมุกสนุกสนาน) ก็ส่วนหนึ่ง

ยิ่งเมื่อมี ผู้รู้มากมายหลายท่าน เดินเข้ามาหาเพื่อถ่ายทอด คำสั่งผมก็ยิ่ง เป็นเอามาก

ให้อดีตท่านผู้ว่าฯ เป็นคนกล่าวอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวนะ เพราะท่านอาวุโสสุด

ให้ท่านผู้ว่าฯ คนปัจจุบันคล้องพวงมาลัยก่อนนะ เพราะท่านตำแหน่งสูงสุดในงาน

พี่ขอไม่อวยพรนะ จะขึ้นไปคล้องมาลัยอย่างเดียว ฯลฯ

และที่ทำให้รู้สึกเกร็งจนอยากกลับบ้าน เห็นจะไม่พ้นประเด็นเรื่อง พวงมาลัย

“บ้าหรือเปล่า นี่มันงานแต่งงานนะ ไม่ใช่การแข่งขันประกวดร้องเพลงลูกทุ่งพุ่มพวงในดวงใจ ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวคล้องหมดคนละสี่พวงเหมือนมาแข่งร้องเพลงแบบนี้ ตลกแย่...” ออแกไนหนุ่มร่างใหญ่แต่ใจสาวที่รับจัดงานในวันนี้ วีนใส่ผมทันทีที่เห็นสคริป “น้องรู้หรือเปล่า พวงมาลัยงานแต่งนี่คล้องแล้วเอาออกไม่ได้นะ เขาถือว่าไม่ให้เกียรติ”

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เจ้าภาพเขาระบุมาอย่างนี้...” ผมบอกไปตามตรง

“ทำไมไม่รู้ เป็นพิธีกรต้องรู้ทุกอย่างสิ...” เธอตำหนิตรงๆ ก่อนสะบัดบ๊อบเดินจากไป

ทิ้งให้ผมยืนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านั้น ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาพ่อเจ้าสาว เล่าเรื่องพวงมาลัยเจ้าปัญหาให้ฟัง โชคยังดีที่คราวนี้ผู้ที่ ใหญ่ ที่สุดในงานรับฟัง และเห็นด้วยกับคำพูดของออแกไนหนุ่มร่างใหญ่หัวใจสาว ทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปด้วยดี

6
หน้าที่ของผมสิ้นสุดลงราวห้าทุ่มกว่า

แขกเหรื่อทยอยกันกลับเกือบหมดแล้ว ผมนั่งหมดแรงอยู่หน้าห้องจัดเลี้ยง เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยืนส่งแขกอยู่หันมาเห็นพอดี ทั้งสองคนจูงมือกันเดินเข้ามาหา พระเอกนางเอกของงานเอ่ยปากขอบคุณผมเป็นการใหญ่

อาการเกร็งในอารมณ์ของผมเริ่มคลี่คลาย เมื่อเห็นหยดน้ำใสๆที่หัวตาของเจ้าสาว ผมรู้สึกปลื้มใจและดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งในงานสำคัญของชีวิตคนทั้งคู่ แม้งานนี้ผมจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ตัวเองตั้งใจไว้ก็ตาม

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ” เจ้าบ่าวที่เวลานี้แม้จะดูเหนื่อยล้าเพราะวิ่งวุ่นรับแขกทั้งวัน แต่ก็ดูมีความสุขไม่แพ้กันบอก ขณะเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบาๆ “ไว้คราวหน้า น้องสาวของอีกคนของพี่แต่งงาน จะใช้บริการอีกนะ...”

ผมได้แต่ยิ้ม ยังให้คำตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า...อาการเกร็งที่ขมับกลับมาอีกแล้ว

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ริมระเบียงใจ (4) Listen - Silent





“นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เขาทำแบบนี้ ฉันเบื่อจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

ทันทีที่พบหน้า เพื่อนสนิทที่คบกันมากว่าเจ็ดปีก็เปิดประเด็นด้วยหน้าตาบูดบึ้ง จังหวะที่เธอกำลังสาธยายเรื่องความไม่เอาไหนของคู่ชีวิตที่คบกันมาหลายปีดัก ไม่ว่าจะเป็น กินอะไรแล้วไม่รู้จักเก็บ ขี้ลืม ซกมก และเจ้าชู้ (ผมเข้าใจว่าประเด็นนี้น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เธอเกิดอาการควันออกหูจนอดรนทนไม่ได้ รีบบึ่งรถมาพบผมเป็นการด่วน)ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยฤทธิ์โทส

ผมชินเสียแล้วกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนุ่ม (ไม่อยาก) โสดอย่างผมต้องมานั่งกระพริบตาปริบๆ คอยเป็นที่ปรึกษารับฟังปัญหาเรื่องความรักให้ใครต่อใคร ทั้งที่ในชีวิตจริงก็ไม่มีกับเขา


หลายต่อหลายครั้งศิราณีที่ขาดประสบการณ์ตรงอย่างผมจึงทำได้เพียงการนั่งนิ่งๆ พยักหน้าเบาๆ ยิ้มให้คู่สนทนา และเปิดหู เปิดตา เปิดใจ เพราะผมได้เรียนรู้แล้วว่า ในยามที่คนเรามีความขุ่นข้องไม่สบายใจ เราไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าคนที่พร้อมจะ ฟัง เรา เท่านั้นจริงๆ

การเป็นผู้ฟังที่ดีถือเป็นยาขนานหนึ่งที่ออกฤทธิ์บำบัดโกรธได้ผลทันตาเห็น เพราะนอกจากจะช่วยคลี่คลายให้ผู้พูดที่มักจะเอาแต่พูดๆๆๆ (เรื่องของตัวเอง) เพื่อระบายสิ่งที่ติดค้างไม่สบอารมณ์ในใจให้หมดไปให้รู้สึกดีขึ้นแล้ว ทุกครั้งที่ได้ฟังเพื่อนเปิดใจ ผมมักได้ “เรื่องดีๆ” เป็นรางวัลกลับมาให้ขบคิดเป็นของแถมเสมอ

อยากบอกเล่าประโยชน์ของการเป็นผู้ฟังที่ดีให้คุณได้ลองฟัง (อ่าน) กันครับ


แค่ ฟังก็เขาช่วยได้

หลายครั้งการเปิดใจรับฟัง สามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับคนใกล้ตัวของเราได้ เพราะเรื่องบางเรื่องที่ดูว่าหาทางออกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องรักความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของคู่รักทำนองรักสามเศร้าเราสามคน ปัญหาด้านการเงิน ปัญหาครอบครัว เป็นต้น เมื่อเขาได้ระบายและมีคนช่วยคิดแก้ไข ปัญหาที่ว่าหนักอาจมีทางออกที่เขาอาจมองไม่เห็นตั้งแต่แรก

สำหรับบางปัญหาที่สาหัสเกินจะแก้ไขได้ในทันที แค่เราให้เวลาเขาสักนิด เปิดโอกาสให้เขาได้ระบาย ฟังที่เขาพูดอย่างใส่ใจ แม้ปัญหานั้นจะไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างน้อย การได้ ระเบิดความอัดอั้นออกมาจากใจ ก็ช่วยให้เขาสบายใจขึ้น


ฟัง ไว้เตือนตน

การเปิดพื้นที่รับฟัง เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นที่ทำได้ง่ายมาก และทำให้ผมได้รู้ว่า เมื่อเทียบกับเพื่อนหรือเจ้าของปัญหาเอง บางเวลาปัญหาของเราก็เล็กนิดเดียว อย่างในกรณีของผม แม้จะเหงาบ้างเวลาต้องอยู่คนเดียวและไม่มีใครให้คิดถึง แต่ก็มีข้อดีคือไม่ต้องอารมณ์เสียบ่อยๆกับเรื่องหยุมหยิมตามประสาคู่รักเหมือนที่เพื่อนประสบ

“แกจำไว้เลยนะ ถ้าวันหนึ่งวันใดแกเกิดมีแฟน อย่าทำแบบนี้เด็ดขาด”

เพื่อนสาวระบายอีกก๊อก หลังได้เปิดใจไปแล้วกว่าสิบนาทีใบหน้าของเธอค่อยดูดีขึ้น สิ่งที่เพื่อนเล่า เป็น ตัวอย่างที่ดีให้ผมนำไปปรับใช้ได้ในอนาคต อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่า ควรทำตัวอย่างไร ในอนาคต หากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับแฟนของเพื่อน


ยิ่งฟัง ยิ่งได้

ทุกวันนี้ โลกของเราเต็มไปด้วยคนที่เอาแต่พูดๆๆ และคนที่เห็นเรื่องของตัวเองใหญ่กว่าเรื่องของใครทั้งหมด เพราะบ้านเรามีแค่คนแย่งกันพูด ไม่มีคนฟัง จึงทำให้หลายต่อหลายครั้งเกิดเรื่องราวลุกลามใหญ่โต

ยิ่งมีแต่คนพูด การเป็นผู้ฟังที่ดียิ่งเป็นเรื่องจำเป็น

แค่เสียสละเวลาสักเล็กน้อยให้กับคนรอบข้าง นั่งฟัง และทำความเข้าใจกันและกันมากขึ้น เพียงเท่านี้ก็ขึ้นชื่อว่าได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว เพราะเรื่องบางเรื่อง แค่เราเปิดใจรับฟัง ไม่จำเป็นต้องออกความเห็นเสียด้วยซ้ำ เช่น ในกรณีของเพื่อนผม เธอแค่รู้สึกเบื่อที่มีแฟนไม่เอาไหน แต่ไม่ได้อยากเลิกเสียหน่อย พอได้พูด ได้ระบาย สุดท้ายก็กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสและให้อภัยแฟนของเธอเหมือนเดิม

คุณอั๋น - ภูวนาถ คุนผลิน เคยเขียนไว้ในหนังสือเรื่อง คนอย่างเธอต้องเจออยางอั๋น ว่า “เคยสังเกตไหมครับ คำว่า ‘Listen’ ที่แปลว่าฟังนั้น ใช้อักษรตัวเดียวกับคำว่า ‘Silent’ ที่แปลว่าเงียบเลย เพราะฉะนั้นการฟังอาจช่วยเขาได้ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย

พอจะเห็นพลังของการฟังกันบ้างหรือยังครับ


หมายเหตุ

ใครมีประสบการณ์ เรื่อง การฟังที่ประทับใจ (จะฮา จะเศร้า หรือแปลกแหวกแนวยังไงได้หมด) เล่าสู่กันฟังได้ ในช่องแสดงความคิดเห็นครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ริมระเีบียงใจ (3) เพื่อนต้น


1

รถปรับอากาศชั้น 1 กรุงเทพ ฯ กระบี่ จอดเทียบชานชาลาสถานีขนส่งตอนหกโมงกว่า

ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แม้กลิ่นควันโชยฉุนที่ลอยออกมาจากท่อไอเสียจะทำให้แสบจมูกอยู่บ้าง แต่กลิ่นของอิสระที่รอคอยมานานก็ดูหอมหวานเกินกว่าจะทำให้ผมหัวเสีย และหงุดหงิดใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

นี่คือครั้งแรกของผมกับการเดินทางไกลโดยไม่มีใครมาคอยอำนวยความสะดวกเหมือนเมื่อครั้งทำงานเป็นกองบรรณาธิการนิตยสาร หลังจากตรากตรำทำงานมานานกว่าเจ็ดปี ผมเลือกกระบี่เป็นสถานที่ฉลองการลาออกโดยมีเพื่อนอีกสองคน สมัครใจลาพักร้อนมาฉลองเป็นเพื่อนซึ่งหนึ่งในนั้นที่กระเป๋าหนักกว่าใครจะบินตามมาสมทบทีหลัง

ระหว่างที่กำลังยืนอ้อยอิ่ง พลันก็มีผู้ชายคนหนึ่งใส่หมวกปิดหน้าปิดตาเดินตรงเข้ามาดึงกระเป๋าในมือผม อารามของความตกใจผมสะบัดมือเต็มแรง มองหน้าอย่างเอาเรื่องแล้วเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นหน้าเขาชัดๆ


2

มึงรู้ได้ไงว่ากูมา”

ผมถามต้นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่ตั้งท่าแย่งกระเป๋าในมือผม คราวนี้ผมยอมยื่นให้และเดินตามมันไปที่รถโดยสารซึ่งที่จอดคอยนักท่องเที่ยวอยู่แล้วที่ด้านหน้าของสถานีขนส่งกระบี่แต่โดยดี

“แม่มึงบอก”

ต้นตอบสั้น ชัดถ้อยชัดคำ ส่วนผมทำหน้าเซ็ง นึกโกรธแม่ที่เป็นห่วงผมเกินพอดีเอาเรื่องนี้มาบอกมัน(นั่นหมายความว่าต้นยังติดต่อกับที่บ้านผมอยู่ตลอดโดยที่ไม่มีใครบอกให้ผมไม่รู้) ต้นทำท่าไม่สนใจหันไปบอกคนขับรถโดยสารเป็นภาษาใต้ที่ผมจับใจความได้ว่าให้เอากระเป๋าของผมกับเพื่อนไปส่งที่หน้าโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งมันทำงานอยู่ แล้วหันมาบอกผมเป็นภาษาเหนือที่มันพูดได้ ไม่ต่างจากเจ้าของภาษา

แปลเป็นไทยว่า“มึงกับเพื่อน ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับกู”

คำว่ามอเตอร์ไซค์ทำเอาผมหน้าเจื่อนลงไปทันที ต้นรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ หันมาบอกผม

“เชื่อใจกู ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยแน่”


3

ไม่ได้พบหน้ากันมากว่าห้าปี

ต้นวันนั้นกับต้นวันนี้แทบไม่ต่างกันเลย แม้ปัจจุบันมันจะเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายบุคคลโรงแรมชื่อดังระดับห้าดาวของจังหวัดกระบี่แล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกของผมต้นก็ยังเป็นต้น เป็นผู้ชายหน้าเถื่อน รูปร่างผอมกะหร่องคล้ายคนติดยา ตัวดำ ผมหยิก และยังคงเป็นมนุษย์ที่ได้ยินเสียงทุกสรรพสิ่งในโลกเพราะมันหูกางมาก (มันพูดของมันเอง) คนเดิม

ผมกับต้นรู้จักกันครั้งแรกตอนเรียนอยู่ชั้นมอสี่ ต้นเดินเข้ามาทักผมก่อนตอนไปสมัครเรียนชมรมวาทศิลป์ อาจเป็นเพราะเราเรียนคนละห้อง(ต้นเรียนศิลป์คำนวณผมเรียนวิทย์-คณิต)เราเลยไม่สนิทกันในทันที แต่พอได้ทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยเข้า ผมกับมันเลยนับกันเป็น เพื่อน

กระทั่งเรียนจบชั้นมอปลาย ผมกับต้นและเพื่อนอีกหลายคนก็ไปสมัครที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เราโชคดีที่สอบได้ที่เดียวกัน แม้จะคนละคณะ(ต้นเรียนพัฒนาชุมชน ส่วนผมจบสายวิทย์แต่บินตามฝันไปเรียนนิเทศศาสตร์จนได้)แต่เราก็มีเวลาที่ใช้จ่ายไปด้วยกันมากพอสมควร

ต้นเป็นหนึ่งในโหมดเพื่อนรัก(ที่มีอยู่เพียงไม่กี่คน)ที่ผมพร้อมจะเทใจให้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

ผมรักมันมากถึงขนาดยอมเก็บความลับของมันไว้ ให้เป็นคำถามคาใจมาจนวันนี้



4

ห้าวันในกระบี

ผมกับเพื่อนได้รับการอำนวยความสะดวกจากต้นอย่างดีประดุจแขกวีไอพีของโรงแรมชั้นหนึ่ง ไม่ว่าต้องการอะไร ต้นจัดให้ทุกอย่าง ตั้งแต่โรงแรม ที่หา(ราคาถูกแต่ดี)ยากเหลือใจ ต้นก็ใช้เส้นสนกลในวิ่งเต้นหาให้ จนเราได้พักในโรงแรมหรูโดยจ่ายในราคาหารกันแล้วไม่ถึงไม่ถึงพันบาท ทั้งติดต่อรถเช่า เหมาเรือนำเที่ยว พาไปตกปลากลางทะเล และเป็นไกด์ให้ในบางวันที่มันสามารถปลีกตัวมาได้

เพราะชีวิตของคนเมืองใหญ่ถูกสอนให้ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ผมจึงไม่แปลกใจเวลาเห็นเพื่อนสองคนของผมมักจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และแอบมองหน้ากันอยู่บ่อยๆเวลาที่ต้นนำเสนอให้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย

เพื่อนของผมไม่ไว้ใจต้นเท่าไรนัก ด้วยเพราะบุคลิกของมันที่ดูนิ่งๆชวนให้ดูมีลับลมคมใน คล้ายมี อะไร อยู่ในใจตลอดเวลานั้นด้วยส่วนหนึ่ง และการพูดจารวบสั้น ชัดถ้อยชัดความ คล้ายมะนาวไม่มีน้ำนั้นก็ด้วย แน่นอนว่า เพื่อนของผมฉลาดพอที่จะเงียบไว้

และในที่สุดความมีน้ำใจของต้น ก็เอาชนะใจเพื่อนทั้งสองคนของผมได้ในวันต่อมา



5

วันที่สามของการทริป

เพื่อนร่วมทริปหนึ่งในสองของผมซึ่งเป็นสาวอารมณ์อ่อนไหวกว่าใครเพื่อน เกิดอยากดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่ร้านอาหารหน้าหาดโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง เพื่อเก็บไว้เป็นฉากความประทับใจของชีวิต ผมถามต้นเป็นเชิงปรึกษา ไม่อยากให้มันออกหน้าอีกแล้ว เพราะเกรงใจ

ต้นพยักหน้า บอกเพียงว่าไม่เป็นไรก่อนจะไล่ให้ผมกับเพื่อนกลับโรงแรมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

ในคืนนั้น บรรยากาศริมชายหาดที่มองไปบนท้องฟ้าเห็นดาวระยิบระยับกับแสงเทียนวอมแวมบนโต๊ะอาหาร ทั้งอาหารสารพัดเมนูแสนอร่อยที่ต้นตั้งใจเลือกมาขึ้นโต๊ะ รวมไปถึงน้ำเมาขวดเขียวที่เพื่อนอีกคนของผมชื่นชอบเป็นพิเศษ ล้วนมีส่วนสร้างความประทับใจให้เราทุกคน

โดยเฉพาะเพื่อนสาวอารมณ์อ่อนไหวของผม เธอดีใจจนน้ำตาไหลที่ความฝันของเธอเป็นจริงเสียที แม้เมื่อกลับถึงโรงแรม เธอก็ยังไม่หยุดอิน อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเคาะประตูห้องผม ชวนเมาท์ต่ออย่างเมามัน

ก่อนเปิดประเด็นทิ้งท้าย ให้ผมนอนไม่หลับ

“ทำไมต้น ถึงดีกับแกนักวะ”


6

คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจผมมาหลายปีแล้ว

นับตั้งแต่ เกิดเรื่อง น้อยคนนักที่จะรู้ว่า เหล็กที่อยู่ในขาของผม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้น

เพราะความประมาทของต้น ทำให้ผมขาหักตั้งสามท่อน ไม่มีสิทธิสอบปลายภาค หมดโอกาสเรียนรำโขน เพราะต้น ทำให้ผมไม่กล้าขับมอเตอร์ไซค์ กลัวเลือด ข้ามถนนคนเดียวไม่ได้ กลัวเสียงไซเรน และกลายเป็นคนไม่มั่นใจเวลาใช้รถใช้ถนนมาจนถึงทุกวันนี้

หลายปีที่ผ่านมา ผมคิดแต่เพียงว่า การที่มันทำดีกับผม เพราะรู้สึกผิด

จึงเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ต้นแสดงความจำนงที่จะช่วยเหลือผมไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามผมมักจะปฏิเสธไว้ก่อน ระหว่างผมกับต้น ผมมักมีคำถามห้อยท้ายตลอดว่า ต้นช่วยเพราะผมเป็นเพื่อน หรือเพราะต้องรับผิดชอบกันแน่

สุดท้ายผมก็ได้คำตอบที่สรุปเอาเองว่าต้นช่วยเหลือผมเพราะรู้สึกผิด นับตั้งแต่นั้นผมเหมือนมีกำแพงบางๆกางกั้นระหว่างมันกับผม ไม่ว่าต้นจะทำอะไรให้ผมก็มักจะตีค่าน้ำใจของมันต่ำกว่ามาตรฐานของเพื่อนคนอื่นเสมอ

เช่นเดียวกับครั้งนี้



7

ความคิดผมเปลี่ยนไปในวันที่สี่ของการเดินทาง

วันนั้นต้นปวารณาตัวว่า จะโชว์ฝีมือทำกับข้าวเลี้ยงส่งเราสามคนก่อนกลับ งบที่เหลือร่อยหรอในกระเป๋าอาจเป็นเหตุผลหลักทำให้เพื่อนทั้งสองคนของผมเห็นดีด้วยอย่างไม่ลังเล และทำหน้าที่เป็นลูกมือที่ดีรออยู่ที่หอพักของต้น ปล่อยให้ผมสบตากับความกลัว ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ฝ่าฝนเดินทางไกลกว่ายี่สิบกิโลเมตรเพื่อไปตลาดปลากับต้น

ถึงตลาด ต้นทำใจป้ำบอกผมว่าอยากกินอะไรให้ชี้ได้เลย งบไม่อั้น คนชอบกินปลาอย่างผมเลยสนุกกับการเลือกปลาหลายชนิดมาทำอาหาร พร้อมคิดเมนูไว้ในในเสร็จสรรพ ทั้งหมึกไข่นึ่งมะนาว แกงส้มปลากระบอก และปลาจารเม็ดทอดเกลือ

ระหว่างที่ติดฝนอยู่ในตลาด ผมได้โอกาสถามต้นอีกครั้ง อย่างจริงจังในรอบสิบปี

“มึงยังรู้สึกผิดอยู่ใช่ไหม ที่ทำให้กูเจ็บ”



8

“ใช่...” ต้นตอบชัดแข่งกับเสียงฝน

“ถ้าวันนั้นกูไม่รีบ ไม่ขับรถเร็วเพื่อไปรับผู้หญิงคนนั้น มึงก็คงไม่เป็นแบบนี้ คงไม่ต้องโกหกพ่อกับแม่ให้การเท็จกับตำรวจ เพื่อช่วยกู มึงรู้ไหม สิบกว่าปีมานี้ กูรู้สึกผิดมาตลอด ภาพของมึงที่นอนตาลอยอยู่ในรถรีเฟอร์ยังติดตากู จนถึงทุกวันนี้ได้ยินเสียงไซเรนทีไรกูก็ยังคิดถึงมึง”

เมื่อรู้ว่าสิ่งที่คาดเดาไว้เป็นจริง ผมยังนิ่งรอดูท่าที

“แต่มึงรู้อะไรไหม ต่อให้กูไม่ได้ทำให้มึงเจ็บ กูก็จะทำแบบนี้”

“ทำไมวะ”

“เพราะมึงเป็นเพื่อนกู”

ผมเงียบไป รู้สึกคล้ายถูกตบหน้า

คำว่าเพื่อนที่หลุดรอดออกมาจากไรฟันของต้น กินความหมายกินใจกว่าทุกครั้ง หลายปีที่ผ่านมาผมทำเพื่อนหล่นหายไปบนทางเดินแห่งมิตรภาพมาแล้วนักต่อนัก เพื่อนบางคนหันหลังให้กันเพราะคำพูดไม่กี่คำ บางคนระยะทางเป็นเหตุ บางคนหนีหายเพราะความไม่ใส่ใจละเลย

แต่สำหรับต้น แม้ว่าผมจะพยายามตีวงโค้งหนีห่างจากวงโคจรของมันยังไง สุดท้ายมันก็ยังอยู่ อยู่ในที่เพื่อนคนหนึ่งเคยอยู่ อย่างเงียบๆ รอคอยทำหน้าที่ของ เพื่อนที่ดีคนหนึ่ง โดยไม่เรียกร้องมิตรภาพหรือสิ่งอื่นใดจาก เพื่อน

ควรแล้วหรือ ที่ผมจะสร้างกำแพงกางกั้นใจที่บริสุทธิ์ของเพื่อนหน้าโหดคนนี้

ผมเงยหน้า สบตาต้น

“ต้น ต่อไปนี้ มึงไม่ต้องรู้สึกผิดอีกแล้วนะ ที่ผ่านมา กูไม่เคยพูดคำนี้กับมึงเพราะกูเองก็ไม่แน่ใจว่า หากพูดไป แล้วกูไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดจะเป็นการโกหกกันเปล่าๆ...” ขณะเอื้อมมือไปตบที่ไหล่ ผมบอกต้น

“ฟังให้ดีนะเพื่อน เรื่องที่ผ่านมากูยกโทษให้ กูดีใจที่ได้เป็นเพื่อนมึง”



9

หากเทียบกับอาหารค่ำมื้อก่อน

อาหารค่ำมื้อนี้คงไม่อร่อยเท่า เพราะแกงส้มปลากระบอกฝีมือต้นเผ็ดเอามากๆ ส่วนปลาจาระเม็ดทอดก็เกรียมจนเป็นสีน้ำตาล หมึกไข่นึ่งมะนาวก็แก่เกลือจนกินได้แต่เนื้อหมึกแต่พวกเราทุกคนกลับรับประทานกันได้มากเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะผม ที่กินจุกว่าใคร